วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552


โดย ชมพู

ห๊าว...ง่วงจัง เอ..วันนี้แม่มาแปลก..ปลุกหนูแต่เช้ามืด แถมดูรีบๆ ยังไม่ได้ชงนมให้หนูหม่ำเลยน๊า..ลืมหรือเปล่าเนี่ย..หรือว่าจะพาไปเที่ยว... ได้ยินแม่กับพ่อคุยกันว่าให้ขนของขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวไปขึ้นเครื่องบินไม่ทัน แล้วเครื่องบินคืออะไรล่ะ..ไม่เห็นจะรู้จักเลย..เอาน่าอดใจอีกแป๊บนึงก็คงรู้แล้วล่ะ..แล้วแม่ก็มาอุ้มหนูไปขึ้นรถ..งีบเอาแรงซะหน่อยดีกว่าเผื่อแม่พาไปเที่ยวไกล..

“หนูจ๋า..ตื่นได้แล้วลูก” เสียงแม่ทำให้หนูงัวเงียลืมตาขึ้นมา เอ..ที่ไหนเนี่ย คนเยอะแยะ เห็นแม่ไปคุยกับพี่ผู้หญิงที่เคาน์เตอร์ แล้วก็ถือบัตรออกมา มายื่นให้หนูดูแล้วบอกว่า “ตั๋วเครื่องบินของหนูไงลูก” สักพักแม่กับพ่อก็พาหนูเดินเข้าไปในที่แปลกๆ ใครก็ไม่รู้นั่งใกล้ๆ หนูเยอะแยะ มีพี่ผู้หญิงหน้าตาใจดีเอาของมาให้แม่บอกว่าเป็นเข็มขัดของหนูเอาไว้ใช้เวลาเครื่องบินขึ้นลง แม่จับหนูนั่งตักแล้วก็เอาเข็มขัดของหนูคล้องกับเข็มขัดของแม่ อึดอัดจัง..หนูพยายามส่งเสียงอ้อนแม่แล้วนา..แม่ไม่เห็นจะใจอ่อนยอมถอดออกให้เลย พ่อบอกว่าทนอีกนิดลูกเดี๋ยวเครื่องบินก็ขึ้นแล้ว ว่าแล้วมือของแม่ก็หยิบขวดนมมาใส่ปาก หนูก็ดูดจุ๊บๆไปตามหน้าที่ แต่เอ๊ะ... แม่จ๋า..ทำไมหนูรู้สึกวืดๆล่ะ หูก็อื้อๆ ไม่เห็นเหมือนตอนที่พ่อกับแม่พาหนูไปเที่ยวที่อื่นเลย ทุกทีหนูนั่งอยู่ในคาร์ซีทที่ติดอยู่หลังพ่อ ไม่เห็นจะวืดๆแบบนี้นี่นา...แต่แค่แป๊บเดียวแม่ก็เอาขวดน้ำมาให้ดูดอีกครั้ง หนูก็จุ๊บๆไปตามเรื่องตามราว แม่บอกหนูว่าเครื่องจะลงแล้วลูก หนูก็รู้สึกวืดๆอีกรอบ สักพักคนรอบๆหนูก็ลุกกันหมด แม่ก็อุ้มหนูเดินออกมาจากเครื่องบิน ค่อยยังชั่ว..เอ..ว่าแต่ว่าที่นี่ที่ไหนกันเนี่ย หนูแน่ใจว่าไม่เคยมาที่นี่แน่ๆ แม่บอกว่าเรามาเที่ยวสมุยกันนะลูก ..แล้วสมุยคืออะไรล่ะ จะเหมือนที่บ้านหนูหรือเปล่าน๊า..

สักพักพ่อกับแม่ก็พาหนูขึ้นรถ แต่คราวนี้ไม่ใช่รถพ่อนี่..คาร์ซีทอันนี้ก็ไม่ใช่ของหนูนะ แต่เอาเถอะนั่งก็นั่ง ลองหันไปมองวิวซะหน่อยดีกว่า..ทำไมหนูเห็นที่กว้างๆมีน้ำเต็มไปหมดเลยล่ะ แม่ชี้ให้หนูดูบอกว่า”เห็นทะเลไหม มีเรือด้วย” หนูเพิ่งรู้ว่าที่กว้างๆน้ำเยอะๆที่หนูเห็นนั้นเรียกว่าทะเล แป๊บเดียวพ่อก็จอดรถแล้วก็อุ้มหนูลงแวะเที่ยวหินตาหินยาย คราวนี้หนูเห็นทะเลกว้างๆ แบบชัดๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต คลื่นซัดกระทบหิน ละอองน้ำกระเด็นไปทั่ว ที่นี่มีหินรูปร่างหน้าตาแปลกๆที่หนูดูไม่ออกว่าคืออะไร แต่พวกผู้ใหญ่ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันใหญ่ อืม..สมุยนี่ไม่เหมือนที่บ้านจริงๆด้วย ที่บ้านมีที่นอนนุ่มๆ มีของเล่นเยอะแยะ แต่ที่นี่มีทะเลใสๆ ต้นมะพร้าวสูงๆ ลมพัดเย็นๆ ไม่ต้องอาศัยแอร์เหมือนที่บ้าน สบายจัง...หนูดีดขาดึ๋งๆด้วยความตื่นเต้นอยู่บนแขนพ่อ ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็น พ่อก้มลงมาถามว่า “ชอบไหมลูก พ่อพามาเที่ยวสูดอากาศบริสุทธิ์นะลูกนะ” หนูก็ต้องชอบซิพ่อ หนูชอบทุกที่ที่มีแม่กับพ่อไปด้วยนั่นแหละ แต่หนูเหนื่อยจัง ของีบอีกหน่อยนะพ่อนะ แล้วหนูก็หลับไปในอ้อมกอดของพ่อ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนสบายอยู่บนเตียงนุ่มๆ เอ..แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่บ้านนี่ ข้างนอกระเบียงเห็นทะเลสวยๆด้วยละ พ่อเห็นหนูตื่นแล้วเลยพาออกไปชมวิวสูดอากาศ หนูก็ดีดขาดึ๋งๆอีกตามเคย

คราวนี้เราไปเที่ยวกันสามวัน แต่เป็นการเที่ยวต่างจังหวัดไกลๆครั้งแรกในชีวิตหนูเชียวน๊า..จะไม่ให้หนูประทับใจได้ยังไง ไปครั้งนี้พ่อกับแม่พาหนูออกไปเที่ยว ไปดูน้ำตกสวยๆ ไปทะเลดูน้ำใสๆ ทรายขาวๆ ไปดูฝรั่งนั่งช้าง เห็นว่าถ้าหนูโตกว่านี้จะพาไปดูลิงเก็บมะพร้าว แล้วก็นั่งเรือไปเที่ยวเกาะ แหม..ก็ตอนนี้หนูเพิ่งจะหกเดือนกว่าๆ ยังไปเที่ยวสมบุกสมบันที่ไหนไม่ค่อยได้นี่ แต่หนูก็สนุกนะ เอาไว้หนูโตกว่านี้อีกหน่อย พ่อกับแม่พาหนูมาเที่ยวที่สวยๆแบบนี้อีกนะ ...หนูชอบ แต่หนูก็แอบสงสัยว่าทำไมบางที่ในสมุยถึงมีแต่ร้านขายของ ที่พัก กับคนเดินเต็มไปหมด คล้ายๆที่กรุงเทพบ้านหนูเลย หนูก็ได้แต่หวังว่าธรรมชาติสวยๆที่หนูเห็นในวันนี้จะไม่ถูกทำลายกลายเป็นตึกไปหมดหรอกนะ เพราะกว่าหนูจะมาถึงที่นี่ได้ เดินทางมาตั้งไกล ลุงๆป้าๆขา ช่วยกันเก็บน้ำใสๆทรายขาวๆ ไว้ให้หนูดูตอนโตด้วยนะคะ...เพราะหนูจะชวนเพื่อนกลับมาเที่ยวอีกค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552




โดย...ไหมมุก

น่านมีอะไร น่าสนใจยังไง ทำไมถึงเลือกไปที่นั่น....คำถามที่ต้องการคำตอบจากเพื่อนๆ เมื่อรู้ว่าเราเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวที่จังหวัดน่าน จังหวัดที่ไม่ค่อยคุ้นหู ไม่ได้เป็นที่สนใจ แต่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากว่ายังคงในความเป็นไทย ผู้คนยังคงสืบทอดวัฒนธรรมอย่างเหนียวแน่น และเขาว่ากันว่าสถานที่ต่างๆ นั้นสวยงามยิ่งนัก....!!!

ก้าวแรกของการเดินทางเรามุ่งสู่ตัวเมืองน่าน เริ่มต้นที่วัดภูมินทร์ โดยวัดนี้ถูกขึ้นทะเบียนเป็น Unseen Thailand อันเนื่องมาจากความสวยที่ไม่เหมือนใคร คือ เป็นพระอุโบสถและพระวิหารที่สร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน ทรงจัตุรมุข ตรงใจกลางพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์ โดยแต่ละองค์จะหันพระพักตร์ออก ทำให้พระปฤษฎางค์ (หลัง) ชนกัน นอกจากนี้ภายในพระอุโบสถ ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังศิลปกรรมไทลื้อ

หลังจากนั้น เราก็ไปไหว้พระที่วัดช้างค้ำ และแวะชมพิพิธภัณฑ์น่าน ที่แสดงประวัติเมืองน่านในอดีต วัตถุโบราณสมัยต่างๆ รวมทั้งศิลปวัฒนธรรมแบบต่างๆ แต่ที่พลาดไม่ได้เลยนั้น คือ งาช้างดำ มีลักษณะเป็นงาช้างสีดำ ขนาดใหญ่ ดูสมบูรณ์ สวย และสง่างามมากๆ ค่ะ ในส่วนตรงนี้ ไม่สามารถที่จะถ่ายรูปเก็บมาฝากได้ แต่อยากให้เพื่อนๆ ที่ไปเยือนเมืองน่าน ควรจะไปชม เพราะสวยงามมากจริงๆ ค่ะ

อีกหนึ่งความประทับใจ คือ ความเป็นกันเองของคนในท้องถิ่นที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี รวมถึงความสงบที่คุณจะหาได้จากเมืองนี้ เมืองที่ความจอแจของผู้คน และท้องถนนนั้นเกือบจะเรียกได้ว่าสงบนิ่ง รถราวิ่งกันปะปราย หากแต่เคลื่อนตัวด้วยความเร็วไม่มากนัก ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความสงบ แตกต่างจากความคั่บคั่งในเมืองใหญ่ๆ ดังเช่นกรุงเทพมหานคร นี่สินะมนต์เสน่ห์ที่คุณก็สามารถสัมผัสได้....น่าน

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ภูชี้ฟ้า หลังคาสองแผ่นดิน





โดย สุระวุฒิ ทองปลี

สวัสดีครับ พี่ๆน้องๆชาวนักเดินทาง วันนี้ผมกลับมาเล่าเรื่องราว ความประทับใจการเดินทางอีกครั้งหนึ่ง ประมาณ ต้นเดือนธันวาคม 2551 ผมเดินทางไปเที่ยวทางเหนืออีกครั้ง ที่ต้องไปก่อนเพราะ ต้องเลี่ยงนักท่องเที่ยวช่วงปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ขนาดไปก่อนนักท่องเที่ยวก็ยังมากอยู่

ภูชี้ฟ้า หลังคาสองแผ่นดิน เป็นเรื่องประทับใจอีกเรื่องที่ผมจะนำมาเล่าให้ฟัง หลายคนที่เอ่ยถึงยอดภูในภาคเหนือ ต้องมีจำนวนไม่น้อยที่เอ่ยชื่อภูชี้ฟ้า เนื่องจากเป็นสถานที่เที่ยวยอดฮิต และมีจุดชมวิวที่มีเอกลักษณ์และสเน่ห์เป็นของตัวเอง

ภูชี้ฟ้าที่ผมจะนำเสนอ ในครั้งนี้ มันย่อมเป็นความประทับใจที่ยากลืมของผมแน่นอน เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้เหยียบที่นี่ ผมออกเดินทางจาก ตัวเมืองจังหวัดเชียงราย มุ่งหน้าสู่อำเภอเทิง แล้วก็เดินทางไปเรื่อยๆผ่านหุบเข้าน้อยใหญ่ กับการมาครั้งแรกผมย่อมตื่นเต้นกับเส้นทางเป็นธรรมดา ทางสูงชันในบางช่วง และลัดเลาะไปตามแนวเขา มองเห็นได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ผ่านหมู่บ้านชาวเขา ชมวิถีชีวิตผู้คนที่นั่น แล้วก็ผ่านเกษตรที่สูงดอยผาหม่น แต่น่าเสียดายช่วงที่ไปดอกทิวลิปยังไม่บาน แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะจุดหมายของเราต้องไปต่อ

เดินทางจากตัวเมืองสัก 2 ชั่วโมงครึ่งก็เดินทางมาถึงบ้านร่มฟ้าไทย ซึ่งเป็นจุดหมายที่พักของเรา ในคืนนี้ เราเลือกใช้บริการ ภูชี้ฟ้าอินน์ ต้องขอบอกว่าที่นี่บริการดีมาก ผมเลือกที่จะนอนเต้นท์ที่เตรียมมาในคืนนี้ จุดชมวิวอยู่ด้านข้างที่พักของผมเอง ได้นั่งดูพระอาทิตย์ตกดินหลังรีสอร์ท เป็นอะไรที่ใกล้กับหน้าเรามากๆ อยู่ใกล้แค่เอื้อมเอง หลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ลมหนาวก็เข้ามา อากาศที่นี่เย็นมากๆๆๆ ช่วงเย็นๆเราก็ออกไปทานข้าวกันขอบอกว่าอาหารมื้อนี้อร่อยมากๆ แล้วก็เดินเที่ยวตลาดเล็กๆหน้ารีสอร์ทต่อ แล้วก็กลับเข้ามารีสอร์ทเพื่อนอนเอาแรงสำหรับพรุ่งนี้ อากาศที่นี่ตอนกลางคืนเย็นมากๆ ขนาดจุดไฟผิงยังหนาวอยู่เลย คืนนี้เราเข้านอนเวลาประมาณ 4 ทุ่มเนื่องจากทนความหนาวไม่ไหว ก่อนนอนยังมีการแสดงของเด็กชาวเขามาแสดงให้ดูอีก น่ารักดี และก็แปลกดีๆด้วย

ตีสี่ครึ่งเรานัดมัคคุเทศก์น้อยชาวเขา มารับเราขึ้นไปยอดภู เช้ามืดอากาศหนาวกว่าเมื่อคืนอีก ๆ เราเดินทางมาถึงตีนภูเพื่อเดินเท้าขึ้นไปอีกประมาณ 700 เมตร คนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางต้องใช้ไฟฉาย เพราะมืดมากๆ อากาศก็หนาวเข้ากระดูก มัคคุเทศก์น้อยของเราเลือกที่จะพาไปที่ที่ไม่ค่อยมีคนไป แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เรามายังจุดชมวิวอีกจุดหนึ่ง อากาศเย็นตีใส่หน้าตลอดเวลา เรารอจนฟ้าเริ่มสว่างแต่วันนี้ท้องฟ้าไม่ค่อยเปิดมาก ดวงอาทิตย์เลยไม่ค่อยออกมาให้เราดูมาก แต่ก็พอเห็นทะเลหมอกตรงหน้าอยู่บ้าง และแล้วการเริ่มต้นแห่งวันใหม่ก็เข้ามา ดวงอาทิตย์บวกกับทะเลหมอก เป็นความสุขที่ยากจะลืมเลือน หลังจากนั้นก้เดินขึ้นไปสัมผัสที่จุดสูงสุด ภูชี้ฟ้าสูงจากระดับน้ำทะเล 1,628 เมตร เป็นเทือกเขาที่กั้นพรมแดนระหว่างไทยและลาว มองข้ามฝั่งไปอีกฝั่งก็คือประเทศลาว และผมก็ได้เก็บสถานที่แห่งนี้เป็นอีกทริปในความทรงจำของผม

“ นี่แหละที่มาของคำที่ว่า ภูชี้ฟ้า หลังคาสองแผ่นดิน “

- การเดินทางมาที่นี่คนที่ไม่เคยมาขับรถด้วยความระมัดระวังนะครับ เช็คสภาพรถด้วย เส้นทางเป็นทางลาดชันและภูเขาตลอดเส้นทาง

เมื่อแสงแดดยามเช้าเข้ามา ทุกชีวิตก็ต้องเริ่มต้นกันต่อไป เจอกันใหม่นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ลมตะวันออก




โดย นิธิศ แสนบัณฑิต

เรือประมงดัดแปลงเป็นเรือท่องเที่ยวขนาด 30 คน กำลังจะแล่นออกจากเกาะ ฟ้าใส แดดจ้า เห็นเพียงปุยเมฆสีขาวเล็กน้อย วันนั้นมีผู้โดยสารประมาณ 15- 16 คน กำลังจะร่ำลาเกาะรอกกลับเข้าฝั่ง

"พี่ เก็บของใส่ถุงดำเถอะครับ คาดว่าจะเปียก คลื่นจะซัดเข้าเรือ" เด็กเรือบอกพลางเก็บกระเป๋าและสิ่งของใส่ถุง

"น้องรู้กันได้ไงล่ะ ไม่เห็นมีอะไรเลย"

"ดูจากยอดคลื่น" พร้อมกับชี้นิ้วให้ดูยอดคลื่นสีขาวเป็นฟองฟอด ท้องน้ำเป็นสีน้ำเงินเข้มเมื่อมองออกไปไกลๆ รู้สึกว่าวันนี้ลมแรงกว่าเมื่อวาน

ผู้โดยสารบนเรือไม่รู้สึกกังวล ยังสนุกสนานกับการถ่ายภาพน้ำใสๆไว้เป็นที่ระลึก น้ำทะเลที่เกาะรอกนั้นใสสะอาดเนื่องจากอยู่ห่างจากฝั่งมากถึง ๔๐ กิโลเมตร ทรายละเอียดนุ่มเท้า ใครไม่เคยเห็นปูเสฉวนที่นี่มีให้เห็น มันมากเสียจนเวลาเดินต้องระวังไม่ไปเหยียบเข้า เรื่องน้ำใสไกด์วัยรุ่นบอกอาจเป็นรองแค่สิมิลัน ผมบอกไม่ได้ว่าที่ไหนจะสวยกว่ากัน เพราะยังไม่เคยไปสิมิลัน

เวลาผ่านไปสักครึ่งชั่วโมงหันหลังกลับมายังมองเห็นเกาะรอกได้ถนัดอยู่ แต่เพื่อนสาวกำลังแย่เสียแล้ว เธอกำลังโก่งคอเอาอาหารเช้าออกมาเลี้ยงปลา ขณะที่ท้ายเรือโคลงขึ้นลงราวกับเครื่องเล่นในสวนสนุก ลมแรง คลื่นสูง ดูน่ากลัวสำหรับคนต่างถิ่น ไกด์หนุ่มของเราบอกว่าไม่เป็นไร เรือไม่พลิกคว่ำกันง่ายๆ ถ้าเรือไม่แตกเสียก่อน ขณะที่กัปตันเรือหันหัวเรือสู้คลื่นไปมาเยื้องซ้ายทีขวาที เบาเครื่องเป็นระยะๆเวลาโต้คลื่นลูกใหญ่

"กำลังเล่นหนัง เพอร์เฟ็คสตอร์มอยู่หรือเปล่าเนี่ย" Atlantis ช่างภาพหนุ่มพูดอย่างหวั่นใจ

เวลานั้นไม่สามารถเอากล้องออกมาถ่ายภาพได้ ในเมื่อ....โว้ๆโว้ๆ เรือกำลังอยู่บนยอดคลื่นแล้ว ว้าก! หัวเรือมันกำลังทิ่มลงไปในทะเลแล้ว ผู้โดยสารร้องเล่นกันเหมือนสนุกเวลาเรือโล้คลื่น พร้อมกับน้ำที่กระฉอกเข้ามาในเรือ

ใจผมก็กังวลบ้างแต่ไม่มาก เรือแตกไม่กลัว กลัวกล้องจมน้ำครับ พื้นเรือประมงดัดแปลงโชกไปด้วยน้ำที่กระเซ็นซัดเข้ามาเวลาหัวเรือกระแทกคลื่น เด็กหนุ่มบอกว่า เคยเจอยิ่งกว่านี้ เรือกำลังแล่นจากเกาะรอกไปเกาะกระดาน ฝนตกหนัก มองไม่เห็นเกาะเป้าหมาย เรือแล่นผิดทิศทางฝ่าลมฝ่าฝนเสียเวลาไปเป็นชั่วโมง พอฝนจางบ้างบางช่วงเห็นว่าผิดเป้าหมายก็หันหัวเรือตรงไปเกาะกระดานทันที ฝนหนักมองไม่เห็นเป้าหมายอีกครั้ง แต่เรือก็ไม่หันหัวไปทางไหนอีกแล้ว

มันพัดมาจากอ่าวไทยข้ามไปอันดามัน คนตรังเขาบอกว่า "ลมตะวันออก"

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Go Spa: อาบน้ำแร่แช่น้ำร้อน สูตร 3-in-1 ที่เมืองกาญจนบุรี

โดย... จตุพร วงศ์มหาดเล็ก
บทความนี้จะพาท่านไปท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในรูปแบบของ สปาทริป "อาบน้ำแร่ แช่น้ำร้อน นอนผ่อนคลาย" ที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งผู้หญิงอย่างเราๆ น่าจะชอบมากนะคะ และยังได้อรรถรสครบทั้งสามสูตรการท่องเที่ยว คือทั้งจากการไปท่องเที่ยวเชิงศาสนา ท่องเที่ยวบ้านพักตากอากาศ และ ท่องเที่ยวท่ามกลางธรรมชาติขุนเขา และเพื่อไม่ให้เสียเวลาก็มาลุยกันเลยค่ะ

เริ่มจากสถานที่แรก "วัดวังขนายทายิการาม" ตั้งอยู่ที่ตำบลวังขนาย ใกล้ตัวเมืองกาญจนบุรี ภายในวัดมีบ่อน้ำร้อนทั้งแบบนั่งแช่ขา และแบบเป็นถังไว้อาบน้ำร้อนทั้งตัว ซึ่งทางวัดได้เตรียมน้ำร้อนโดยสูบน้ำขึ้นมาจากใต้ดินเพื่อนำมาใช้ชำระร่างกาย อุณหภูมิของน้ำร้อนจะไม่ร้อนมาก อยู่ที่ประมาณ 40 องศาเซลเซียสค่ะ น้ำร้อนวัดวังขนายได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้บำบัดรักษาโรคได้จริง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและบำรุงผิวหนัง เพราะในน้ำร้อนมีแร่ธาตุหลายชนิด ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนมาก หลั่งไหลมาที่วัดวังขนายแห่งนี้เพื่อบำบัดรักษาโรค แล้วก็อย่าแช่น้ำเพลินนะคะ ให้ไปทำบุญไหว้พระเสียก่อน ไหนๆ ก็มาถึงวัดแล้ว ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งสุขภาพ คุ้มจริงๆ ค่ะ

ถัดมาคือ "Rock Valley Hot Spring and Fish Spa" ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกับ "River Kwai Village Hotel" ตั้งอยู่ที่อำเภอไทรโยค เลยออกจากตัวเมืองกาญจนบุรีออกมา ถ้าขับรถก็ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งค่ะ ที่นี่นอกจะจัดเป็นบ้านพักแบบธรรมชาติอันสวยงามแล้ว ยังมีบ่อน้ำร้อนอีกหลายประเภท ได้แก่ บ่อน้ำร้อนธรรมชาติ บ่อน้ำร้อนสมุนไพร บ่อน้ำเย็น และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ "บ่อมัจฉาบำบัด" หรือ "สปาปลา" โดย ดร.ฟิซ ค่ะ ซึ่งเป็นปลาหมอตัวน้อย ๆ นับร้อย ๆ ตัว แต่ละตัวก็มีขนาดประมาณเท่ากับเม็ดพริกเอง ลองจินตนาการดูนะคะ เวลาเราลงไปแช่น้ำร้อนแล้วฝูง ดร.ฟิซ จะว่ายน้ำเข้ามาตอดเซลล์ผิวหนังที่ไม่ดี หนังแข็ง หนังกระด้าง ของเราออกไปหมด ตอนแรกก็รู้สึกจักจี้แต่ตอนหลังจะรู้สึกคลายเครียดและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก หากใครตอนแรกไม่กล้า กลัวเจ็บหรือหวาดเสียว ก็ให้ค่อยๆ ลองหย่อนแขนหรือขาลงไปสำรวจดูก่อนก็ได้ค่ะ จนสักพักเริ่มรู้สึกชินกับฝูง ดร.ฟิซ แล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาแช่ทั้งตัว เล่นกับ ดร.ฟิซ ได้เลย

สถานที่สุดท้ายของทริปนี้นะค่ะอยู่ที่น้ำพุร้อนหินดาด (น้ำพุร้อนกุยมั่ง) ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังของเมืองกาญจนบุรี จากอำเภอไทรโยค ให้ขับรถลุยต่อไปอีกประมาณชั่วโมงครึ่ง จนถึงอำเภอทองผาภูมิ น้ำพุร้อนหินดาดแห่งนี้เป็นบ่อน้ำร้อนจากธรรมชาติ อุณหภูมิของน้ำร้อนจึงอาจจะสูงสักนิดนึง เราสามารถลงไปอาบน้ำในบ่อได้เลย สถานที่ค่อนข้างจะเป็นส่วนตัวพอสมควร ส่วนสรรพคุณของน้ำพุร้อนแห่งนี้เขาก็ว่ากันว่าสามารถบำบัดโรคได้หลายชนิดเหมือนกัน เช่น ดูดสารพิษโลหะหนัก โรคไขข้อ แขนขาลีบ กระตุ้นโลหิต บำรุงผิวหนัง ฯลฯ และทางด้านล่างก็มีลำธารน้ำเย็นไหลด้วย แต่อย่าไปอาบสลับกันร้อนๆ เย็นๆ หลายรอบนะคะ เดี๋ยวจะไม่สบาย

นอกเหนือจากที่กล่าวมาแล้วจังหวัดกาญจนบุรียังมีที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกเยอะเลยค่ะ วันหลังถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังใหม่ และก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทริปอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อน แบบสูตร 3-in-1 ที่เมืองกาญจนบุรี คงจะถูกใจคนรักการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ผู้หญิงอย่างเราๆ ไม่ควรจะพลาดนะคะ

Article Source: http://www.thai.tourismthailand.org/

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เทศกาลชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็ก

เทศกาลชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งลำน้ำเข็กมิถุนายน - ตุลาคม 2552ณ ลำน้ำเข็ก อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก


การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพิษณุโลก ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวผู้รักการผจญภัยและความท้าทาย ร่วมค้นหาประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตกับการผจญภัยที่ตื่นเต้นเร้าใจในกิจกรรม “ชิมกาแฟแก่งซอง ล่องแก่งน้ำเข็ก” ณ ลำน้ำเข็ก อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก


กิจกรรมล่องแก่งลำน้ำเข็ก จังหวัดพิษณุโลก มีความสนุกสนานท้าทาย และได้รับการยกย่องจากบรรดานักท่องเที่ยวให้เป็นสายน้ำที่มีความสนุกสนาน ปลอดภัย และเหมาะสมสำหรับการล่องแก่งที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เนื่องจากมีความสะดวกสบายไม่ต้องเดินเท้าเข้าป่า ไม่ต้องแบกหามเรือยาง ไม่ต้องเตรียมเสบียง การล่องแก่งลำน้ำเข็กจะเริ่มต้น จากบริเวณบ้านทรัพย์ไพรวัลย์ ตำบลแก่งโสภา อำเภอวังทอง ล่องไปสู่บริเวณตอนบนของน้ำตกแก่งซอง ความพิเศษอยู่ที่จะเริ่มต้นจากกระแสน้ำนิ่ง (ระดับ 1) และเข้าสู่ระดับน้ำที่มีความสนุกสนานท้าทายขึ้นตามลำดับจนกระทั่งถึงระดับสูงสุด (ระดับ 5) ในช่วงท้าย ลำน้ำนี้จะขนานไปกับทางหลวงหมายเลข 12 (สายพิษณุโลก-หล่มสัก) รวมระยะทางในการล่องแก่งประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลาล่องแก่ง ประมาณ 3 ชั่วโมง กิจกรรมล่องแก่งลำน้ำเข็ก สามารถล่องแก่งได้ในช่วงฤดูฝน คือช่วงเดือนมิถุนายน - ตุลาคม ของทุกปี ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝน

การล่องแก่งลำน้ำเข็ก เป็นกิจกรรมที่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากนักท่องเที่ยวจะได้รับฟังการแนะนำขั้นตอนต่างๆ รวมทั้งได้รับการฝึกหัด การพาย การลอยตามกระแสน้ำ การขึ้น-ลง แพยาง และการรับฟังคำสั่งนายท้าย ก่อนการลงล่องแก่ง นักท่องเที่ยวจะต้องสวมใส่อุปกรณ์ชูชีพ และหมวกนิรภัย ที่จะช่วยลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ นอกจากนี้ฝีฟายประจำเรือ คือ นายหัวและนายท้าย ยังได้ผ่านการอบรมหลักสูตรการล่องแก่งที่ได้มาตรฐานสากล Best practice จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากการล่องแก่งที่สนุกสนาน และท้าทายแล้ว นักท่องเที่ยวจะได้ชิมกาแฟแก่งซอง ซึ่งเป็นกาแฟท้องถิ่นพันธุ์อราบิก้า ต้นตำรับแท้ๆ ที่มีความเข้ม เติมด้วยความมัน และหวานหอม ตามแบบฉบับ “กาแฟแก่งซอง” ซึ่งเป็นกาแฟที่ปลูกอยู่ทั่วไปบริเวณตำบลแก่งโสภา ซึ่งจะมีร้านจำหน่ายกาแฟสดบริเวณน้ำตกแก่งซองจำนวนมาก จึงมีชื่อเรียกติดปากว่า “กาแฟแก่งซอง” ปัจจุบันกาแฟแก่งซองเป็นที่ยอมรับของคอกาแฟ และผู้จำหน่ายกาแฟทั่วไปอย่างแพร่หลาย ซึ่งนิยมมารับซื้อไปขายในท้องถิ่นต่างๆ จำนวนมาก โดยอาจเปลี่ยนชื่อไปตามถิ่นที่จำหน่าย อาทิ ตามเส้นทางสายเหนือ และสถานีบริการน้ำมันในภาคเหนือตลอดเส้นทางทั้งภาครวมถึงแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง

นักท่องเที่ยวที่มีความสนใจ และรักการผจญภัย ชื่นชอบความท้าทายตื่นเต้นเร้าใจ คงจะพลาดไม่ได้สำหรับการเป็นผู้พิชิตลำน้ำเข็กในครั้งหนึ่งของชีวิต

สอบถามข้อมูล การล่องแก่งล้ำน้ำเข็ก เพิ่มเติมได้ที่ ททท. สำนักงานพิษณุโลก โทรศัพท์ 0-5525-2742-3 ทุกวัน ในเวลาราชการ (08.30-16.30 น.)

Article Source: http://www.thai.tourismthailand.org/

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ไหว้พระสุขใจ ไม่ใกล้ ไม่ไกล ที่วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์



โดย ระริน ภูรยานนทชัย

วันนี้วันอาทิตย์ ไม่รู้จะทำอะไรดีจึง นอนกลิ้งไปกลิ้งมา นึกขึ้นมาได้ว่าคราวที่แล้วเราจะไปปิดทองฝังลูกนิมิตที่วัดบรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ คณะสงฆ์จีนนิกายรังสรรค์ (วัดเล่งไน้ยี่2) ช่วงตรุษจีนแต่ไปไม่ถึงเพราะรถติดยาวมาก อย่างไรก็ตาม วันนั้นก็ได้ส่งใจไปไหว้แล้วล่ะ แต่วันนี้อากาศดี แดดก็ยังไม่ออก และยังไม่มีอะไรทำ อย่างนั้นเราไปไหว้พระกันดีกว่า.....

เราออกเดินทางจากบ้าน 8 โมงครึ่ง การเดินทางจากบ้านเรามาวัดไม่ไกลมาก เราใช้เส้นทางบางกรวย-ไทรน้อยแล้วตรงมาเรื่อยๆ ตามป้ายบางบัวทองและวัดบรมราชา ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงวัด เนื่องจากเป็นช่วงเช้า คนยังไม่เยอะและอากาศก็ยังไม่ร้อน ที่จอดรถยังโล่งๆอยู่ วัดก็สวยงามอย่างที่ใครๆเค้าร่ำลือจริงๆ เหมือนได้ไปเมืองจีน

เราเริ่มจากการที่เข้าไปนมัสการเจ้าแม่กวนอิมที่ชั้น 1ก่อน จากนั้นก็เดินเข้าไปอีกนิดก็เจอโต๊ะตั้งไว้เพื่อซื้อกระดาษไว้เขียนสะเดาะเคราะห์กับเทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ยะ พอดีปีนี้เราชงเลยเข้าไปซื้อ 100 บาท เพื่อเขียนชื่อ นามสกุล และเวลาตกฟากเพื่อสะเดาะเคราะห์ตัวเอง ถ้าใครไม่รู้ หรือ จำอะไรที่จำเป็นต้องเขียนไม่ได้ ให้เขียนว่า “ดี”

จากนั้นก็ขึ้นไปชั้น 2 เพื่อบูชาเทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ยะ เมื่อขึ้นไปถึงก็ไปจุดธูปและมาไหว้เทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ยะ หลังจากนั้นก็ปักธูปในกระถาง และปัดกระดาษบนตัวจากบนลงล่าง 13 ครั้งแล้ววางกระดาษในกล่องที่ทางวัดจัดไว้เพื่อนำไปทำพิธีต่อ

ทางวัดได้จัดชุดฝังลูกนิมิตให้เรียบร้อยแล้ว ชุดละ 100 บาท ในชุดก็มี ดินสอ กระดาษมีคำสวดมนต์ เข็ม ด้าย กระดาษทอง และลูกนิมิตจำลอง วิธีการก็ไม่ยาก ก็แค่ร้อยเข็มแล้วเอาทุกอย่างพันรวมกัน ยกเว้นกระดาษทองกับลูกนิมิตให้เก็บไว้กับตัว จากนั้นก็เอาทุกสิ่งทุกอย่างที่พันรวมกันไปหย่อนในหลุมที่จะฝังลูกนิมิต พร้อมทั้งแปะทอง ทำแบบนี้ไป 9 ลูก วนรอบอุโบสถกลาง จากนั้นก็ไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมพันมือ และเดินดูโดยรอบอีกสักพักก็เดินทางกลับบ้าน

ถ่ายรูปสักพักก็เริ่มเดินต่อเพื่อไปปิดทองและฝังลูกนิมิตบนชั้น3 ซึ่งเป็นอุโบสถกลางหลังใหญ่ ลมพัดเย็นตลอดการเดิน สบายจริงๆ สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ ว่าไปตั้งแต่จำความได้วัดนี้ก็เป็นวัดที่สองที่ได้ฝังลูกนิมิต ซึ่งหวังไว้ว่าจะฝังลูกนิมิตให้ครบ 9 วัดให้ได้ในชีวิตนี้

แม้จะเป็นการเดินทางไปเที่ยวที่ไม่ไกล แต่เราก็สุขทั้งกายและใจกับการได้มาไหว้พระในวันอากาศดีๆแบบนี้

Article Source: http://www.thai.tourismthailand.org/